อบต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่

 

home

   

สำนักงานปลัด

บุคคลากร

หน้าที่รับผิดชอบ

อีเมล์ สนง.ปลัด

ระเบียบ กฏหมาย

 

วันสารทเดือนสิบ ประเพณีอันดีงามของไทย
A Special day for Buddhist

ประเพณีวันสารทเดือนสิบ
"วันสารทเดือนสิบ" เป็นการทำบุญกลางเดือนสิบของทุกปีเพื่อนำเครื่องอุปโภคและเครื่องบริโภคไปถวายพระเป็นการ
อุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษของตนที่ล่วงลับไปแล้ว
วัตถุประสงค์
เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ภาษาบาลีว่า "เปตชน" ภาษาชาวบ้านว่า "เปรต"
ซึ่งหมายถึง ผู้ที่รับความทุกข์ทรมานจากวิบากแห่งบาปกรรมที่ตนได้ทำไว้ในเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปจึง
ตกนรกเป็นเปรต อดอยากยากแค้น คนข้างหลังหรือลูกหลานจึงต้องทำบุญอุทิศให้ปีละครั้งเป็นการเฉพาะ
ความเชื่อ
พุทธศาสนิกชนเชื่อว่า บรรพบุรุษอันได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้ง
ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ แต่หากทำความชั่วและบาปกรรมไว้มาก ตายไปจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้อง
ทุกข์ทรมานในนรกอเวจี ต้องอาศัยและรอคอยผลบุญที่ลูกหลานจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ ดังนั้นในวันแรม1 ค่ำ เดือน
10 คนบาปทั้งหลายหรือที่เรียกว่าเปรตจะถูกปล่อยตัวกลับ มายังโลกมนุษย์ เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลาน แล้วจะ
กลับไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10ของทุกปี
ขั้นตอนการจัดหมรับ
การจัดหมรับ (หรือ สำรับ) มักจะจัดขั้นตอนการจัดหมรับเฉพาะครอบครัว หรือจัดร่วมกันในหมู่ญาติ และจัดเป็นกลุ่ม ภาชนะที่ใช้จัดหมรับใช้กระบุงหรือเข่งสานด้วยตอกไม้ไผ่หรืออาจจะใช้พานทองก็ได้
การจัดหมรับ คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหารขนมเดือนสิบลงภายในภาชนะที่เตรียมไว้เป็นชั้นๆ ดังนี้
1. ชั้นล่างสุด จัดบรรจุสิ่งของประเภทอาหารแห้งลงไว้ก้นภาชนะ
2. ชั้นที่สอง บรรจุอาหารประเภท พืช ผัก ที่เก็บได้นาน ใส่ขึ้นมาจากชั้นล่างสุด
3. ชั้นที่สาม จัดบรรจุสิ่งของประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน
4. ชั้นที่สี่ ใช้บรรจุและประดับประดาด้วยขนมอันเป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบเป็นหัวใจของหมรับ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง(ขนมไข่ปลา) ขนมบ้า เป็นต้นขนมเหล่านี้มีความหมายในการทำบุญเดือนสิบซึ่งขาดเสีย
มิได้เพื่อให้บรรพบุรุษและผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้นำไปใช้ประโยชน์
การยกหมรับ
วันแรม 15 ค่ำ ชาวบ้านจะนำหมรับที่จัดเตรียมไว้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัดพร้อมกับญาติๆวันสารทเดือนสิบนี้อาจ
จัดได้ว่าเป็นวันรวมญาติวันหนึ่งเหมือนๆกับวันปีใหม่โดยปกติเมื่อถึงวันสารทเดือนสิบบรรดาลูกหลานที่ไปศึกษาต่อ
ต่างจังหวัด เช่นในกรุงเทพมหานคร จะพากันกลับบ้านเพื่อร่วมประเพณีนี้โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเลือกวัดที่ใกล้บ้าน
หรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยม และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วยวันนี้เรียกว่า "วันยกหมรับ"

 

การฉลองหมรับและการบังสุกุล
วันแรม 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันสารทเรียกว่า "วันฉลองหมรับ" มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุล
การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปเมืองนรก นับเป็นสำคัญยิ่งวัน
หนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าหากไม่ได้ทำพิธีกรรมในวันนี้บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วจะ
ไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลทำให้เกิดทุกขเวทนาด้วยความอดยากลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลาย
เป็นคนอกตัญญูไป
การตั้งเปรตและการชิงเปรต
เสร็จจากการฉลองหมรับและถวายภัตตาหารแล้ว ก็นิยมนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ที่ลานวัด
โคนไม้ใหญ่ หรือกำแพงวัด เรียกว่า "ตั้งเปรต"เป็นการแผ่ส่วนกุศุลให้เป็นสาธารณทานแก่ผู้ที่
ล่วงลับที่ไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญให้ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ชาวบ้านก็จะแย่งชิง
ขนมที่ตั้งเปรตไว้ เรียกว่า"ชิงเปรต" ถือว่าผู้ที่ได้กินขนมจะได้บุญ


สรุปประเพณีทำบุญวันสารท

 

ประเพณีทำบุญวันสารทนั้นที่ประชาชนชาวภาคใต้นิยมทำกัน 2 ครั้งในเดือน 10 คือ.-

 

 

ครั้งที่ 1 ทำในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า ประเพณีทำบุญรับเปรต(ตายาย)
ครั้งที่ 2 ทำในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า ประเพณีทำบุญส่งเปรต(ตายาย)

 

การจัดเตรียมการและวิธีการทำบุญทุกอย่างของชาวภาคใต้ทั้ง 2 ครั้งนั้น มีวิธีการทำและปฏิบัติเหมือน ๆ

กัน ชาวภาคใต้มีความภาคภูมิใจที่ได้มีประเพณีทำบุญวันสารท ซึ่งถือได้ว่าเป็นอารยะประเพณีที่ดียิ่ง ที่สืบทอดมาตาม
คตินิยมทางพระพุทธศาสนาแต่โบราณกาล

 

ฉะนั้น ประเพณีนี้ชาวไทยพุทธภาคใต้จะปฏิบัติรักษาไว้ไม่ให้สูญสิ้นไป เพราะถือเป็นมรดกไทยอันล้ำค่าควร

แก่การกระทำให้เป็นประเพณีที่มีความมั่นคงแน่วแน่ สมเป็นเอกลักษณ์ของปวงชนชาวไทยพุทธในภาคใต้ เพื่ออนุชน
รุ่นหลังจะได้มีความสำนึกในความกตัญญูกตเวทีต่อบุพพ การีชนสืบต่อไปนานเท่านาน

 

******************************

ประเพณีทำบุญวันศารท
โดย ศรีพัท มีนะกนิษฐ์
***************

ประวัติความเป็นมา

 

ประเพณีทำบุญวันสารท คือ ประเพณีทำบุญอุทิศให้แก่เปตชนผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว นับเป็นประเพณีที่สำคัญ

อย่างหนึ่งของชาวภาคใต้ที่นับถือพระพุทธศาสนาซึ่งได้กระทำกันมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้การกระทำนั้นนิยม
ทำกัน 2 ครั้งคือ ครั้งแรกกำหนดเอาวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 เป็นวันรับ และครั้งที่ 2 วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันส่ง

 

ประเพณีทำบุญวันสารท ชาวไทยพุทธ 14 จังหวัดภาคใต้ ได้กระทำตามคตินิยมของพระเจ้าพิมพิสาร

พระเจ้าแผ่นดินมคธ ที่ได้ทรงถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงอุทิศถวายแก่เปตชนผู้
เป็นพระญาติของพระองค์ ในครั้งนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอนุโมทนาจึงได้ตรัสติโรกุฑฑสูตรว่า
ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ เป็นอาทิ

 

ประเพณีทำบุญวันสารทของชาวภาคใต้นั้น โดยมุ่งหมายก็เพื่อจัดทำบุญอุทิศผลส่งไปให้แก่เปตชนทั้งหลาย

ผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านเหล่านั้นจะไปสู่สุคติหรือทุคติขึ้นอยู่กับผลบุญกรรมของแต่ละท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ตายไปแล้ว
จำพวกที่ทำกรรมดีก็ได้เสวยสุข ผู้ที่ทำกรรมไม่ดีก็ได้เสวยทุกข์ ส่วนพวกที่เสวยทุกข์แบ่งประเภทเป็นเปตชนได้ 21
จำพวก
เปรต 21 จำพวก ได้แก่.-

 

 

1.กุมภัณฑเปรต ได้แก่ เปรตมีอัณฑะโตเท่าหม้อ
2.คูถขาทิเปรต ได้แก่ เปรตผู้จมอยู่ในหลุมคูถ(ขี้)
3.คูถนิมุคคเปรต ได้แก่ เปรตผู้จมอยู่ในหลุมคูถท่วมหัว
4.นิจฉวิตถีเปรต ได้แก่ เปรตหญิงผู้ไม่มีผิวหนัง
5.นิจฉวิเปรต ได้แก่ เปรตผู้ไม่มีผิวหนัง
6.ภิกษุเปรต ได้แก่ เปรตชายผู้มีรูปร่างเหมือนภิกษุ
7.ภิกษุณีเปรต ได้แก่ เปรตหญิงผู้มีรูปร่างเหมือนภิกษุณี
8.มังคุลิตถีเปรต ได้แก่ เปรตหญิงผู้มีรูปร่างน่าเกลียด
9.มัสปิณฑเปรต ได้แก่ เปรตมีแต่ก้อนเนื้อ
10.มังสเปสิเปรต ได้แก่ เปรตมีแต่ชิ้นเนื้อ
11.สัตติโลมเปรต ได้แก่ เปรตมีขนเปนหอก
12.สามเณรเปรต ได้แก่ เปรตชายมีรูปร่างเหมือนสามเณร
13.สามเณรีเปรต ได้แก่ เปรตหญิงมีรูปร่างเหมือนสามเณรี
14.สิกขมานาเปรต ได้แก่ เปรตหญิงมีรูปร่างเหมือนนางสิกขมานา
15.สูจิกเปรต ได้แก่ เปรตชายมีขนเป็นเข็ม
16.สูจิโลมเปรต ได้แก่ เปรตชายมีขนเป็นเข็มตกลงตำเบื้องบนแทงกายตนเอง
17.อสิโลมเปรต ได้แก่ เปรตชายมีขนเป็นดาบตกลงมาฟันตนเอง
18.อสีสกพันธเปรต ได้แก่ เปรตชายมีหัวขาด
19.อัฏฐิสังขลิกเปรต ได้แก่ เปรตมีแต่โครงกระดูก
20.อุสุโลมเปรต ได้แก่ เปรตชายมีขนเป็นลูกศร
21.โอกิลินีเปรต ได้แก่ เปรตหญิงที่กำลังถูกไฟลวกตลอดเวลา


วันรับและวันส่งตา-ยาย

วิธีปฏิบัติในการบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันสารท

 

เมื่อประชาชนนำเครื่องสักการะมีอาหารคาวหวานเป็นต้นทุกอย่างมาพร้อมกันแล้ว แบ่งอาหารหวานคาว

ถวายพระภิกษุสงฆ์ส่วนหนึ่ง แล้วนำอีกส่วนหนึ่งสำหรับนำไปบูชาเปรตชน ไปวางไว้บนศาลาเปรต(ร้านเปรต/หลาเปรต)
แล้วโยงสายสิญจน์(สายโยง)จากร้านเปรตมาถึงที่พระภิกษุสงฆ์

 

พระภิกษุสงฆ์สวดถวายพรพระเสร็จแล้วจึงฉันภัตตาหารเพล แล้วพระภิกษุสงฆ์เข้าประจำอาสนะ ทายก-

ทายิกาถวายปัจจัยไทยธรรมเสร็จแล้ว พระภิกษุสงฆ์อนุโมทนา ยถา...ฯเปฯ สัพพี... แล้วต่อท้ายด้วย ติโรกุฑฑสูตร
และ อทาสิ เม.. ฯ ภวตุ สพฺพมงฺคลํ..ฯ หลังจากนั้น พระภิกษุสงฆ์สวดมาติกา บังสุกุล อัฐิ ชื่อ และภาพถ่าย เป็นต้นของ
เปตชนที่พวกญาติจัดไว้ รวบรวมไว้จบแล้วทายกทายิกาถวายปัจจัยไทยธรรม พระภิกษุสงฆ์อนุโมทนาโดยใช้บท
อทาสิ เม...ฯ ต่อด้วย ภวตุ สพฺพมงฺคลํ...ฯ เป็นอันเสร็จพิธี

 

ชาวภาคใต้ก็มีความเชื่ออย่างชาวเขมรว่ายมบาลได้ปล่อยให้เปรตทั้งหลายมาเยี่ยมลูกหลานในเมือง

มนุษย์ในเทศกาลวันสารทนี้ งานทำบุญวันสารทบางจังหวัดเรียกว่า "วันส่งตา-ยาย" บางจังหวัดเรียกว่า "วันส่งเปรต"
ตามประเพณีเดิมวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 มีการทำบุญตักบาตรเป็นการอุทิศส่วนกุสลผลบุญตอบสนองอุปการคุณ
ของปู่-ย่า ตา-ยาย วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 มีการทำบุญตักบาตร เป็นการทำบุญเพื่อส่งตายายอีกหนึ่งวัน แต่ในปัจจุบัน
นี้นิยมทำบุญตักบาตรในวันแรม 1 ค่ำ และ แรม 15 ค่ำ เดือน 10 รวมเป็น 2 วัน

 

คำว่า "ส่ง" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงส่งของให้ปู่-ย่า ตา-ยาย กินหรอก ความหมายเดิมมาจากคำเขมร "ส่ง"

(ข.ซ็อง ท.สง) แปลว่า "ตอบแทน" แผลงเป็น "สนอง" แปลว่า "การตอบสนอง"

 

ฉะนั้น คำว่า "ส่งตายาย" หรือ"ส่งเปรต" ความหมายเดิมมีว่า "ทำบุญอุทิศส่วนกุศลผลบุญตอบสนอง

อุปการะคุณไปให้ปู่-ย่า ตา-ยาย ที่ล่วงลับไปแล้ว"

 

แต่เพราะไม่รู้ว่า "ส่งตายาย" หรือ "ส่งเปรต" มาจาก "ซ็องตายาย"ซึ่งเป็นภาษาเขมร แปลว่า "ตอบแทน

อุปการะคุณตายาย" จึงเข้าใจกันว่า "ส่งตายาย"ก็คือ " ส่งข้าวปลาอาหารไปให้ตายายกิน"

 

การทำบุญส่งตายายหรือส่งเปรตนี้ บางท้องถิ่นทำก่อนพระฉันอาหาร ซึ่งตรงกับของเขมร ผิดกันแต่ของ

ไทย ไม่ต้องจุดธูปเทียนแห่รอบโบสถ์เหมือนเขมรแต่ส่วนมากทำกันหลังจากพระฉันอาหารเสร็จสรรพแล้วขนมที่จำ
เป็นต้องใช้ในงานนี้ ขนมที่จะขาดเสียมิได้ คือ.-

 

 

1.ข้ามต้มมัด
2.ขนมลา
3.ขนมสะบ้า
4.ขนมดีซำ
5.ขนมข้าวพอง
6.ขนมเจาะหู(ขนมเบซำ)
7.ขนมไข่ปลา

 

จะต้องทำไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เขาว่าเปรตบางตนทำบาปกรรมเอาไว้มาก มีรูปากเท่าปลายเข็ม จะกิน

ขนมลาได้สะดวก ส่วนขนมสะบ้านั้น เปรตจะได้เก็บเอาไว้เล่นทอยสะบ้าเมื่อยามเทศกาลตรุษสงกรานต์
กำหนดวันและสถานที่

 

วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันสำคัญที่สุด บรรดาลูกหลานของปู่ย่า ตายาย ทุกคนจะต้องไปทำบุญที่วัด

ในวันนี้จะขาดเสียมิได้ ที่ลานวัด เขาจะยกร้านขึ้นสูงเพียงราวนม เอาข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนย เงินทอง เล็กน้อย สมัยนั้นก็ 5,10,25,50 สตางค์ อย่างสูงไม่เกิน 1 บาท บางคนก็เอาสุราตั้งไว้ด้วย แล้วแต่ลูกหลานจะเห็นว่าปู่ย่า ตา
ยาย เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่ชอบกินอะไร มีสายสิญจน์(สายโยง)โยงมาจากร้านเปรตนั้น นี้เขาเรียกว่า "ตั้งเปรต" หรือ
"รับเปรต"

 

อันที่จริงเมื่อพระสวดมาติกาบังสุกุลแล้ว มีการกรวดน้ำเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้บิดา - มารดา ปู่ - ย่า

ตายาย ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่แน่ใจหรือรู้ไม่ได้ว่า วิญญาณของบุพพการีชนเหล่านั้นได้ไปผุดไปเกิดแล้ว หรือ
ยังวนเวียนเป็นเปรตอยู่เพื่อให้แน่นอนจึงต้องมีการจัดไว้สำหรับเปรตหรือตายายได้กินโดยเฉพาะอีกแห่งหนึ่งดังกล่าว
แล้ว

 

บางจังหวัดเอาของเซ่นไหว้มาตั้งกลางลานวัด หรือวัดใดมีหาดทรายหน้าวัด ก็เอามาตั้งกลางหาดทราย

ถ้ามาเป็นกลุ่มญาติเป็นหมู่ เอาเสื่อปู วางเครื่องเซ่นลงบนเสื่อรวมกันถ้ามาเดี่ยวก็เอาของวางลงบนใบตองหรือ
กระดาษเป็นเฉพาะรายไปเมื่อเสร็จพิธีสงฆ์แล้ว จะมีคนกระตุกด้ายสายสิญจน์(สายโยง) เพื่อบอกให้รู้ว่าพิธีสงฆ์
ได้ เสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปนี้เป็นพิธีส่งเปรตกันล่ะ

 

หมู่คนเหล่านั้นก็จะพากันออกมาเซ่นไหว้ปู่ย่า ตายาย ที่ยังเป็นเปรตอยู่ ตลอดทั้งเปรตที่ไม่มีญาติด้วย

ขอเชิญมาเสพข้าวปลาอาหาร สุราน้ำท่า ขนมนมเนย ที่ลูกหลานนำมาให้อิ่มหนำสำราญ ขอให้คุ้มครองลูกหลานให้
มีความร่มเย็นเป็นสุข ทำมาหากิน ค้าขายคล่องด้วยเถิด

 

เมื่อคะเนว่าเปรตกินอิ่มหนำสำราญดีแล้ว จะมีคนประกาศว่า "เปรตกินอิ่มแล้ว ต่อไปนี้ลูกหลานเปรต

กินได้แล้ว" สุดเสียงประกาศ พวกเด็ก ๆ รวมทั้งผู้ใหญ่ด้วย จะเข้าแย่งชิงขนมของกิน และเงินทองกันที่วางไว้บนร้าน
เปรตนั้นอย่างชุลมุนวุ่นวายเป็นที่สนุกสนาน ตอนนี้แหละที่เรียกว่า "ชิงเปรต" คือ ชิงของกินที่เหลือจากเปรตกินแล้ว
ด้วยเชื่อว่าอาหารเหล่านี้เป็นของที่เหลือจากบรรพบุรุษ หากผู้ใดได้กินแล้วจะมงคลอย่างยิ่ง

 

งานทำบุญ "ส่งตายาย" หรือ "ส่งเปรต" นี้ ได้ต้นกำเนิดมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วจึงแพร่หลาย

ไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วภาคใต้
การชิงเปรต

 

การชิงเปรต เป็นประเพณีเนื่องในเทศกาลวันสารทเดือนสิบของชาวใต้ โดยทำร้านสำหรับนำสำรับอาหาร

หวานคาวไปวางเพื่ออุทิศกุศลผลบุญส่งไปให้เปตชนที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากวางสำรับลงบนร้านเปรตแล้ว พวกลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะเข้าแย่งอาหารนั้นแทน จึงเรียกกันว่า "ชิงเปรต"

 

เรื่องการชิงเปรตนี้ดูไม่ผิดอะไรกับเรื่องทิ้งกระจาดของจีนที่เขาทำในกลางเดือน 7 ของเขา ซึ่งตรงกับ

เดือน 9 ของไทยคือเขาปลูกเป็นร้านยกพื้นสูงนำเอาขนมและผลไม้เป็นกระจาดขึ้นไปวาง ไว้บนนั้น นอกจากนั้นยัง
มีของมีค่า เช่น เสื้อผ้า หุ้มคลุมบนเครื่องสานไม้ไผ่คล้ายตระกร้า เมื่อถึงเวลามีเจ้าหน้าที่ 2 - 3 คนขึ้นไปประจำอยู่
บนนั้นแล้ว จับโยนสิ่งของบนพื้นทิ้งลงมาข้างล่างให้แย่งชิงกัน เดิมทีเห็นจะโยนทิ้งลงมาทั้งกระจาด จึงได้เรียกว่า "ทิ้งกระจาด" ต่อมาหยิบสิ่งของในกระจาดบนร้านทิ้งลงมาเท่านั้น มีแต่พวกเด็ก ๆ และผู้หญิงแย่งกัน ส่วนผู้ชายไม่
ค่อยแย่ง เพราะคอยแย่งเสื้อผ้า ดีกว่าลูกไม้และขนมที่ทิ้งลง มากกว่าจะแย่งเอาอาหารซึ่งกว่าจะแย่งเอาได้ก็เหลว
แหลกบ้างเป็นธรรมดา แต่เสื้อผ้าที่ทิ้งลงมานั้น แย่งกันจนขาดไม่มีชิ้นดี

 

บางทีคนแย่งไม่ทันใจปีนร้านขึ้นไปแย่งกันบนนั้นเจ้าหน้าที่มีน้อยห้ามไม่ไหวจึงเกิดความชุลมุนวุ่นวาย

กันใหญ่ ถึงกับร้านทานน้ำหนักไม่ไหวพังลงมาก็เคยมี ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นทิ้งสลากสำหรับเสื้อผ้า ส่วนของอื่นยัง
คงทิ้งลงมาให้แย่งกัน การทิ้งกระจาดของจีนเป็นการทิ้งทานให้แก่พวกผีไม่มีญาติ ส่วนการไหว้เจ้าชิดง่วยปั่นหรือ
สารทกลางปีของเขา เป็นการเซ่นผีปู่ย่าตายาย คือทำบุญอุทิศให้แก่ญาติที่ตายไปแล้ว

 

การทิ้งกระจาดของจีนมีเป้าหมายตรงกับการตั้งเปรต-ชิงเปรตของไทยเพียงบางส่วนเท่านั้น กล่าวคือ

การ ทิ้งกระจาดของจีนเป็นการทิ้งทานให้แก่พสกผีไม่มีญาติเท่านั้น ส่วนการตั้งเปรตชิงเปรตของไทยเป็นการอุทิศ
ส่วนกุศลไปให้ทั้งผี (เปรต) ที่เป็นญาติพี่น้องของตนเอง และที่ไม่มีญาติด้วย นอกจากนั้นแล้ววิธีการปฏิบัติ ในการทิ้ง
กระจาดและการชิงเปรตก็ต่างกัน

 

ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนได้เล่าให้ฟังและยืนยันว่า การชิงเปรตไม่เป็นความอัปมงคลแต่อย่างใด ในทางตรงกัน

ข้ามกลับถือว่าเป็นบุญด้วยซ้ำไป เพราะเชื่อว่าบุตรหลานของเปรตตนใดชิงได้ เปรตตนนั้นย่อมได้รับส่วนนั้น พียงแต
่ว่าผู้ชิงต้องระมัดระวังในการที่อาหารหรือขนมที่ตั้งเปรต อาจตกหล่นลงบนพื้นซึ่งจะทำให้เกิดความสกปรกและเป็น
อันตรายต่อสุขภาพเท่านั้น

 

การตั้งเปรตและชิงเปรตจะกระทำในวันที่ยกสำรับไปวัด ไม่ว่าจะเป็นวันแรม 1 ค่ำ หรือแรม 15 ค่ำ เดือน

10 ก็ตาม ผู้ตั้งเปรตจะนำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปเพื่อการตั้งเปรตด้วย อาหารที่ใช้ตั้งเปรตนี้ ส่วนมากจะเป็นอาหารที่
บรรพบุรุษผู้เป็นเปตชนชอบอย่างละนิดละหน่อย ขนมที่ไม่ควรขาด ก็คือ ขนมลา ขนมพอง ขนมสะบ้า ขนมแห้ง ขนม
ไข่ปลา นอกจากขนมดังกล่าวแล้วยังมีของแห้งที่ใช้เป็นเสบียงกรังก็จัดฝากไปด้วย เช่น ข้าวสาร หอม กระเทียม พริก
กะปิ เกลือ น้ำตาล ปลาเค็ม กล้วย อ้อยมะพร้าง ไต้ เข็มเย็บผ้า ด้าย และธูปเทียน เป็นต้น นำลงจัดในสำรับโดยเอา
ของแห้งดังกล่าวรวมกันและอยู่ชั้นใน ส่วนขนมทั้งหลายอยู่ชั้นนอก ปิดคลุมด้วยผืนลาทำเป็นรูปเจดีย์ยอดแหลม หรือ
รูปอื่นใดแล้วแต่การประดิษฐ์ของผู้จัดทำ ส่วนภาชนะที่ใช้แต่เดิมนั้นนิยมใช้กระเฌอหรือถาด นำเอาสำรับที่จัดแล้ว
ไปวัดรวมกันตั้งไว้บนร้านเปรตซึ่งสร้างไว้กลางวัด ยกเสาสูง ต่อมาในภายหลังร้านเปรตทำเป็นศาลาถาวร หลังคามุง
จากหรือมุงกระเบื้องแล้วแต่ฐานะของวัด บางถิ่นจึงเรียกว่า "หลาเปรต" บนร้านเปรตจะมีสายสิญจน์(สายโยง) ลงล้อม
ไว้รอบ และต่อยาวไปจนถึงพระสงฆ์ซึ่งนั่งอยู่ในวิหารเป็นที่ทำพิธีกรรมโดยสวดบังสุกุลอัฐิหรือกระดาษเขียนชื่อของผู้
ตายซึ่งบุตรหลานนำมารวมกันในพิธีต่อหน้าพระสงฆ์ บุตรหลานจะกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลไปยังเปตชนที่เป็นบรรพ
บุรุษ เมื่อเสร็จพิธีแล้วสายสิญจน์(สายโยง)ขนมต่าง ๆ จะถูกแบ่งออกส่วนหนึ่งพร้อมกับของแห้งไว้ถวายพระ อีกส่วน
หนึ่งให้เปตชนที่พอมีกำลังเข้ามาเสพได้ ในขณะเดียวกันผู้ที่มาร่วมทำบุญทั้งหนุ่มสาว เฒ่าแก่และโดยเฉพาะเด็ก ๆ
จะเข้าไปรุมกันแย่งขนมที่ตั้งเปรตนั้น ด้วยความสนุกสนาน

 

ยังมีเปตชนอยู่อีกจำพวกหนึ่งซึ่งมีบาปหนา ไม่กล้าเข้าไปรับอาหารที่ลูกหลานเอาไปวางไว้บนร้านเปรต

ในเขตวัด ได้แต่เลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ริมรั้วชายวัด บรรดาลูกหลานทั้งหลายจึงได้นำอาหารและขนมดังกล่าวนั้น ไปตั้ง
ร้านเปรตกันนอกเขตวัดเป็นร้านเปรตแบบวางกับพื้นดิน ตั้งให้เปตชนบนพื้นดินพื้นหญ้า หรือตามค่าคบไม้เตี้ย ๆ

 

เมื่อตั้งเปรตแล้วลูกหลานอาจจะแย่งชิงกันก็เป็นอันเสร็จสิ้นการชิงเปรตสำหรับปีนั้น บรรดาเปตชนทั้งหลาย

ได้รับส่วนบุญกุสลซึ๋งลูกหลานอุทิศและชิงให้ แล้วกลับไปสู่ยมโลก คอยโอกาสจะได้เข้าเฝ้าท่านท้าวยมบาล เพื่อรายงาน
และถวายบุญกุศลแด่พระองค์แล้ว จะได้พ้นจากทุกข์ทรมานไปอุบัติยังสุคติภพต่อไป

วันสารทเดือนสิบ


วันสารทเดือนสิบ วันสารท หรือวันทำบุญเดือนสิบ โดยเชื่อกันว่าในปลายเดือนสิบ ปู่ย่าตายายและญาติที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีบาปตกนรกเป็นเปรต พญายมจะปล่อยให้ขึ้นมาพบลูกหลานในเมืองมนุษย์ได้ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ แล้วให้กลับไปสู่เมืองนรกดังเดิม ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวบ้านจึงจัดให้มีการทำบุญ ๒ ครั้ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ เรียกว่า วันรับเปรต - ตายาย ชาวบ้านจะจัดสิ่งของต่าง ๆ ไปทำบุญที่วัด เช่น ข้าวสาร กระเทียม พริก เกลือ น้ำตาล กะปิ อาหารแห้งประเภทปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักผลไม้สำหรับประกอบอาหารคาวหวาน ที่เก็บไว้ได้นาน เพื่อจัดส่งให้ตายายและญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ถือเป็นวันทำบุญใหญ่ บางที่เรียกว่าวันส่งตายาย หรือวันชิงเปรต มีการทำขนมและจัดหาข้าวของ สำหรับทำบุญเช่นเดียวกับวันรับตายาย แต่จะเพิ่ม การจัด หมฺรับ หรือ พุ่มจาด นำแห่กันไปที่วัด ตอนเช้าของวันแรม ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะร่วมทำบูญ บริจาคเงิน ติดยอดจาด ด้วย ซึ่งเงินทำบุญที่ได้ก็จะนำไปบำรุงวัดต่อไป
กิจกรรมสำคัญในวันเดือน ๑๐ คือ การตั้งเปรต หลังถวายภัตตรหารเพล ซึ่งชาวบ้านจะนำข้าวของ ขนม อาหารไปวางไว้ตามสนามนอกวัดเป็นกลุ่ม ๆ เพราะเชื่อว่ามีเปรตส่วนหนึ่งไม่มาสารถเข้าถึงวัดได้ จึงมีการตั้งเปรตกันนอกวัดเชิญวิญญาณตายายที่เป็นเปรตให้มารับเอาขนมที่ตั้งนั้น กรวดดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เปรตและส่งเปรต เสร็จแล้วชาวบ้านและเด็ก ๆ ก็จะพากันแย่งชิงเอาสิ่งของที่ตนหมายตาไว้เป็นที่สนุกสนาน เรียกกันว่า"ชิงเปรต" เชื่อว่าเป้นการรับประทานข้าวคู่เปรตซึ่งเป็นมงคล
แบบ ประกาศ เวปบอด
ด